ในปลายปี ค.ศ. 1949
ความสำคัญของประเทศไทยและอินโดจีนของฝรั่งเศสต่อสถานะของประเทศสหราชอาณาจักรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความเด่นชัดมากขึ้นทุกวันเมื่อกองทัพคอมมิวนิสต์จีนได้เข้ามาใกล้พรมแดนของอินโดจีนซึ่งกองโจรคอมมิวนิสต์เวียดนามกำลังปฏิบัติการอยู่อย่างเข้มแข็ง
ความสำคัญในบทบาทของประเทศไทยในฐานะเป็นแนวป้องกันส่วนหน้าของมลายาได้รับการยอมรับจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายอังกฤษ
ข้างสหรัฐอเมริกาก็มีความวิตกกังวลกับชัยชนะของคอมมิวนิสต์ในประเทศจีนมากจนถึงกับได้เปลี่ยนแปลงนโยบายไม่ต้องทำอะไรที่มีอยู่ก่อนต่อประเทศต่างๆในเอเชียมาเป็นนโยบายป้องกันคอมมิวนิสต์เขมือบเอเชียเข้าไปอยู่ในเขตอำนาจที่กว้างใหญ่ของตน
ผู้กำหนดนโยบายของสหรัฐอเมริกามีความเชื่อว่าสหภาพโซเวียตและจีนคอมมิวนิสต์มีความพร้อมที่จะเข้าไปช่วยสาธารณรัฐเวียดนามของโฮจิมินห์ในอินโดจีนที่ได้รับการสนับสนุนสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตทั้งทางด้านความช่วยเหลือในด้านวัตถุและในด้านกำลังทหาร
สหรัฐอเมริกาอีกเหมือนกันเห็นว่าประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีความมั่นคงมากที่สุดในเอเชียอาคเนย์มีความสำคัญต่อนโยบายสกัดกั้นจีนคอมมิวนิสต์
ดังนั้นสหรัฐอเมริกาจึงได้เลือกกรุงเทพฯเป็นสถานที่ประชุมของบรรดาหัวหน้าคณะทูตของสหรัฐอเมริกาในแถบตะวันออกไกลซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
ค.ศ. 1950
ที่ประชุมของคณะทูตได้พิจารณาถึงสถานการณ์ในประเทศตะวันออกไกลทั้งหลายเป็นรายประเทศและสถาการณ์ในระดับภูมิภาคโดยรวมโดยเฉพาะอย่างยิ่งย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในห้วงเวลาภายหลังจากคอมมิวนิสต์มีชัยนะในประเทศจีน
ทางฝ่ายสหภาพโซเวียตก็ได้แสดงความสนใจเป็นอย่างมากในประเทศไทยนับแต่สงครามแปซิฟิกยุติลง
ผลประโยชน์ทางการเมืองและทางเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตในประเทศไทยได้สร้างความวิตกกังวลให้ทั้งแก่ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศสหราชอาณาจักร
นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1948 สถานอัครราชทูตโซเวียตประจำประเทศไทยมีเจ้าหน้าที่มาประจำอยู่จำนวนรวมกันมากกว่าพลเมืองของประเทศสหภาพโซเวียตที่พำนักอยู่ในประเทศไทยเสียอีก
นอกจากนั้นแล้วสถานอัครราชทูตโซเวียตก็ยังได้ตีพิมพ์เผยแพร่วารสารข่าวชื่อ
Bulletin of the Press Service การเคลื่อนไหวของสหภาพโซเวียตเช่นนี้ได้สร้างความวิตกกังวลทั้งในกรุงวอชิงตันและในกรุงลอนดอนว่า
ศูนย์บัญชาการกลางเพื่อเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้มาตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ
มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่าชาวรัสเซ๊ยได้ทำการติดต่อกับแรงงานชาวจีนที่ทำงานรับจ้างอยู่ในกรุงเทพฯ
และว่าเจ้าหน้าที่รัสเซียเป็นจำนวนมากในสถานอัครราชทูตสหภาพโซเวียตได้หายตัวไปทำงานใต้ดินอยู่ทั่วประเทศไทย
ในส่วนที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจนั้น ก็มีรายงานว่าชาวรัสเซียได้พยายามซื้อดีบุกและยางพาราในประเทศไทย
ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจทั้งของประเทศสหราชอาณาจักรและประเทศสหรัฐอเมริกา
กระแสของ”สงครามเย็น “(Cold War)ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้พุ่งแรงขึ้นเป็นอย่างมากเมื่อวันที่
30 มกราคม ค.ศ. 1650 เมื่อสหภาพโซเวียตได้ให้การรับรองแก่รัฐบาลเวียดนามของโฮจิมินห์โดยให้เหตุผลว่าเป็นรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของประชาชนส่วนใหญ่ของเวียดนาม
โฮจิมินห์ได้เรียกร้องให้สหภาพโซเวียตรับรองรัฐบาลของตนโดยส่งบันทึกผ่านทางผู้แทนของเวียดนามในกรุงเทพฯถึงอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย
การตัดสินใจของโซเวียตซึ่งตามมาด้วยความสัมพันธ์ทางการทูตและแลกเปลี่ยนคณะทูตกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม
ในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียง 2 สัปดาห์หลังจากที่สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ให้การรับรองแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม
ในอีก 1 สัปดาห์ต่อมา คือ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศสหราชอาณาจักรได้ให้การรับรองรับรองและสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลเวียดนาม
รัฐบาลลาว และรัฐบาลกัมพูชาซึ่งเป็นหุ่นเชิดของประเทศฝรั่งเศส
ทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศสหราชอาณาจักรและประเทศฝรั่งเศสได้ร่วมกันยื่นข้อเสนอมาทางรัฐบาลของจอมพล
ป.ให้รัฐบาลไทยรับรองรัฐบาลเวียดนาม รัฐบาลลาว และรัฐบาลกัมพูชาที่เป็นหุ่นเชิดของประเทศฝรั่งเศส
รัฐบาลของจอมพล ป.มีความเห็นในหมู่ผู้นำไม่ตรงกันจึงต้องใช้เวลา 3
สัปดาห์ก่อนที่จะตัดสินใจในครั้งสุดท้าย
นับตั้งแรกแล้ว จอมพล ป.โดยการสนับสนุนของทหารทั้ง 3
เหล่าทัพมีความเห็นว่าเป็นเรื่องรีบด่วนและจำเป็นที่ประเทศอย่างยิ่งที่ประไทยจะต้องกระทำตามประเทศสหราชอาณาจักรและประเทศสหรัฐอเมริกา
แต่นโยบายนี้ไม่ได้รับความเห็นชอบจากนายพจน์ สารสิน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและรัฐมนตรีอื่นอีก 4
คนซึ่งต้องการวางนโยบายแบบคอยดูไปก่อน
ในการอภิปรายกันว่าควรจะให้การรับรองในทันทีแก่ 3
รัฐบาลในอินโดจีนหรือไม่นั้น จอมพล ป. ได้เปรียบเทียบระบอบประชาธิปไตยกับระบอบคอมมิวนิสต์ว่าเหมือนกับโรงภาพยนตร์
2 โรง และถือว่าการรับรองในทันทีเป็นการช่วยให้ประเทศไทยได้เข้าไปสู่โรงภาพยนตร์
ทั้งนี้โดยจอมพล ป.ได้ใช้คำพูดว่า
ในขณะที่ประเทศไทยมีที่นั่งในโรงภาพยนตร์ประชาธิปไตยแล้ว
แต่ยังยืนอยู่ข้างนอกโรงภาพยนตร์ ในขณะที่ภาพยนตร์ได้เริ่มฉายอยู่ข้างในโรงภาพยนตร์นั้นแล้ว
ยิ่งประเทศไทยยังอยู่ข้างนอกโรงภาพยนตร์อยู่นานต่อไป ประเทศไทยก็ยิ่งจะมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์น้อยลงไปเท่านั้น
จอมพล ป.มีความเห็นว่าประเทศไทยต้องแสดงออกมาว่ามีความยึดมั่นที่จะอยู่ในค่ายของประเทศที่ไม่เป็นคอมมิวนิสต์และจะต้องยุตินโยบายเป็นกลางในแบบนั่งอยู่บนรั้วเพื่อรอคอยดูเหตุการณ์เสีย
ก่อนที่จอมพล ป.และคณะนายทหารจะมีทีท่าเช่นนี้ออกมาก็ด้วยได้พิจารณาถึงปัจจัยทางด้านการเมือง
ทางด้านเศรษฐกิจและทางด้านทหารดังนี้:
1.ชัยชนะขอคอมมิวนิสต์ในประเทศจีนได้สร้างความวิตกกังวลอย่างมากต่อผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศของไทย
ทั้งนี้โดยมีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่าได้มีภัยคุกคามต่อประเทศไทยทั้งจากภายในประเทศไทยเอง
กล่าวคือ การมีชัยชนะของคอมมิวนิสต์จีนในประเทศจีนจะส่งผลกระทบต่อชนกลุ่มน้อยชาวจีนซึ่งมีจำนวนมากมายในประเทศไทย
จะมีการแทรกซึมเข้ามาของคอมมิวนิสต์และมีกิจกรรมของสายลับเข้ามาอยู่ในหมู่ของคนจีนเหล่านี้
นอกจากนั้นแล้วในทางด้านการคุกคามจากภายนอกประเทศนั้น เมื่อคอมมิวนิสต์จีนมีชัยชนะในประเทศจีนแล้วประเทศจีนและประเทศไทยก็จะไม่ได้อญุ่ห่างไกลกันมากนัก
และประเทศจีนก็จะคุกคามประเทศไทยได้โยไม่ยาก
มีการประเมินว่าหนึ่งในห้าของประชากรทั้งหมดของประชากรของประเทศไทย
เป็นคนไทยเชื้อสายจีน หรือเป็นพวกจีนผสมไทย พวกคนจีนเหล่านี้เป็นชนกลุ่มน้อยแต่เป็นชนกลุ่มน้อยที่มีความสำคัญมาก
ส่วนในทางเศรษฐกิจนั้นพวกคนจีนมีความสำคัญมากทั้งนี้เพราะพวกคนจีนนอกจากจะผูกขาดทางด้านการค้าและด้านอุตสาหกรรมแล้วยังเป็นพวกที่หนักเอาเบาสู้สามารถทำงานอะไรก็ได้ที่พวกคนไทยไม่ต้องการจะทำ
หากไม่มีคนจีนเสียแล้ว เศรษฐกิจของประเทศไทยอาจจะล่มสลายก็ได้
ชาวจีนยังมีความสำคัญทางด้านการเมืองด้วยเพราะพวกคนจีนเป็นพวกรักพวกพ้องและมีการจัดตั้งที่ดี
ภายหลังจากสงครามแปซิฟิกยุติมีการเจริญเติบโตของลัทธิคอมมิวนิสต์ในหมู่ของชาวจีนในประเทศไทย
มีสาขาของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในประเทศไทยซึ่งความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับขบวนการคอมมิวนิสต์ในประเทศจีน
เมื่อปี ค.ศ. 1949
มีการประมาณการณ์ว่าชาวจีนที่พำนักอยู่ในประเทศไทยมีจำนวนไม่น้อยที่ต้องการให้คอมมิวนิสต์จีนมีชัยชนะในประเทศจีน
และในประเทศไทย
เพราะหากคอมมิวนิสต์มีชัยชนะก็จะช่วยให้คนจีนที่พำนักอยู่ในประเทศไทยมีสถานะที่เข้มแข็งขึ้น
เพราะที่ผ่านมารัฐบาลเจียงไคเช็คของประเทศจีนไม่ได้ช่วยป้องกันมาตรการต่อต้านชาวจีนที่รัฐบาลไทยนำมาใช้กับคนจีน
ด้วยเหตุนี้ทางรัฐบาลไทยจึงไม่ชอบคนจีนและเห็นว่าเป็นพวกที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศไทย
โดยเฉพาอย่างยิ่งในช่วงที่คอมมิวนิสต์ได้ชัยชนะในประเทศจีน
ภัยคุกคามจากประเทศจีนจากภายนอกประเทศ
ก็คือ กองทัพจีนจะยาตราทัพจากภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือทางด้านแม่น้ำโขงเข้าสู่ประเทศไทย
และเมื่อกลางเดือนธันวาคม ค.ศ. 1948
สำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานว่ากองทัพจีนคอมมิวนิสต์ได้ข้ามพรมแดนทางด้านอินโดจีนและทางพรมแดนทางพม่าเข้ามาแล้ว
ผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศของไทยมีความวิตกกังวลเป็นอย่างมากกับรายงานข่าวเหล่านี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการประกาศออกอากาศทางวิทยุของวิทยุปักกิ่งที่ว่า
กองทัพคอมมิวนิสต์จีนจะได้เข้ามาช่วยเหลือในการปลดปล่อยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1949 เป็นที่เปิดเผยว่า
ประเทศไทยจะได้รับบทเรียนจากจีนคอมมิวนิสต์โดยจีนจะบุกเข้ามาทางภาคเหนือ และคอมมิวนิสต์จีนได้ติดต่อกับกองกำลังของพม่าและของเวียดนามแล้วและจะข้ามพรมแดนเข้าสู่ประเทศไทยผ่านทางอินโดจีน
ความกลัวภัยคุกคามจากจีนทั้งจากภายในประเทศและจากภายนอกประเทศได้แสดงออกมาจากคำพูดของหลวงสุรณรงค์
ผู้อำนายการข่าวกรองทางทหารของไทยที่ได้ติดต่อกับนักการทูตอังกฤษประจำสถานเอกอัครราชทูตของสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทยว่า
“คุณต้องไม่ยอมให้พวกเราตายเหมือนคราวที่แล้ว(ในสงครามแปซิฟิก)
คุณกับชาวอเมริกันจะช่วยเหลืออะไรพวกเราได้บ้าง?.”
จอมพล ป.และคณะนายทหารมีความหวังว่าหากประเทศไทยต้องเผชิญภัยคุกคามจากประเทศจีนคอมมิวนิสต์
ทางประเทศสหราชอาณาจักรและประเทศสหรัฐอเมริกาจะมาให้ความช่วยเหลือ
เพราะฉะนั้นการที่ประเทศไทยยอมให้การรับรองแก่รัฐบาลเวียดนาม รัฐบาลลาว
และรัฐบาลกัมพูชาที่เป็นหุ่นเชิดของฝรั่งเศสตามอย่างรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลสหราชอาณาจักรจึงมีความสำคัญทางการเมือง
ประการที่ 2 ที่จอมพล ป.ต้องการเข้าร่วมกับค่ายที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์นั้น
ก็เพราะมีความกลัวพวกเสรีไทย โดยในปี ค.ศ.1949 โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างวันที่
26-27 กุมภาพันธ์ ซึ่งเกิดกบฏวังหลวงและการพ่ายแพ้ของรัฐบาลจีนคณะชาติที่นานกิงในอีก
2 สัปดาห์ต่อมา ได้มีการการติดต่อของคนไทยกับพวกคอมมิวนิสต์ในประเทศจีน
ในข่าวเชิงลึกบอกว่านายปรีดี
พนมยงค์และสมาชิกเสรีไทยผู้ใกล้ชิดหลังจากพ่ายแพ้ในกบฏวังหลวงแล้วได้ไปขอความช่วยเหลือจากฝ่ายคอมมิวนิสต์จีน
นอกเหนือจากที่จะได้รับความช่วยเหลือจากนักชาตินิยมชาวอินโดจีน
จอมพล ป.ได้ตระหนักถึงว่าเมื่อคณะเสรีไทยได้เลือกประเทศจีนคอมมิวนิสต์เป็นผู้ให้การสนับสนุนจากภายนอกฝ่ายตนก็ควรพึ่งประเทศสหราชอาณาจักรและประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นที่พึ่งจากภายนอกบ้าง
ประการที่ 3 การที่ประเทศไทยให้การรับรองประเทศเวียดนาม ประเทศลาว
และประเทศกัมพูชาที่เป็นหุ่นเชิดของประเทศฝรั่งเศสนั้น
ก็เพราะมีแรงจูงใจจากประสบการณ์ของผู้นำไทยในช่วงก่องก่อนเกิดสงครามแปซิฟิก
กล่าวคือ ว่าโดยทั่วไปนั้น ผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศของไทยถือว่าอินโดจีนเป็นแนวป้องกันส่วนหน้าของประเทศไทย
จอมพล ป.คือผู้กำหนดนโยบายคนเดิมกับคนที่ได้เคยกำหนดชะชากรรมของประเทศไทยในสงครามแปซิฟิก
และคราวนี้เขาก็มาเป็นผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศในสงครามเย็น เขายังจดจำได้เป็นอย่างดีว่า
ทหารญี่ปุ่นเข้าไปอยู่ในประเทศจีนก่อน ต่อจากนั้นได้เดินทัพเข้ามาในอินโดจีนและได้กรีธาทัพบุกเข้าสู่ประเทศไทยในที่สุด
จอมพล ป.มีความเชื่อว่า คราวนี้ก็คงเหมือนคราวก่อน
คือชะตากรรมของอินโดจีนจะมาก่อนประเทศไทยและอินโดจีนจะปลอดภัยได้ก็โดยความพยายามร่วมมือกันของประเทศสหรัฐอเมริกา
ประเทศสหราชอาณาจักรและประเทศฝรั่งเศส
จอมพล ป.ได้คาดการณ์ว่า ประเทศเวียดนาม ประเทศลาว
และประเทศกัมพูชาที่เป็นหุ่นเชิดของฝรั่งเศสจะทำหน้าที่เป็นประเทศกันชนระหว่างประเทศไทยกับพวกคอมมิวนิสต์
และทั้ง 3 ประเทศในอินโดจีนนี้จะช่วยปกป้องเอกราชของประเทศไทยเอาไว้ได้
ประการที่ 4 จอมพล ป.สนับสนุนให้รับรององ 3
รัฐบาลหุ่นเชิดของฝรั่งเศสในทันทีนั้นเพราะมีความเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวจะอำนวยประโยชน์ให้ประเทศไทยได้ความช่วยเหลือทั้งทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริกาซึ่งขณะนั้นได้มีการถกปัญหาเกี่ยวกับตะวันออกไกลอยู่ในกรุงวอชิงตัน
และผลประโยชน์ที่จะได้จากการเข้าร่วมกับค่ายที่ไม่เป็นคอมมิวนิสต์โดยการนำของสหรัฐอเมริกาได้ถูกนำไปคำนวณโดยจอม
พล ป.
กล่าวคือ นอกจากจะได้รับคำมั่นสัญญาจากสหรัฐอเมริกาว่าประเทศไทยจะได้คืนทองคำมูลค่า
40 ล้านดอลลาร์ที่ถูกยึดไว้ในประเทศญี่ปุ่นแล้ว
คณะนายทหารไทยยังมีความสนใจในโครงการ 4 อย่าง(Four Points)ของสหรัฐอเมริกา
ซึ่งโครงการนี้ได้นำเสนอโดยประธานาธิบดีทรูแมนในวันเข้ารับตำแหน่งในปี
ค.ศ. 1949
ว่าสหรัฐอเมริกาจะให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคและทางการเงินเพื่อพัฒนาประเทศแก่ประเทศในพื้นที่ล้าหลังต่างๆของโลก
และประเทศไทยก็อาจอยู่ในหมู่ของประเทศเหล่านี้ที่จะได้รับส่วนแบ่งจากเงินจำนวน
75 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯที่ทางประเทศสหรัฐอเมริกาจะแบ่งสันปันส่วนให้แก่ประเทศในย่านประเทศจีน
นายเอ็ดวิน สแตนตัน (Edwin Stanton)เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย
ได้ใช้เงินเพื่อซื้อจอมพล ป.และคณะนายทหาร
เพราะว่านอกจากประเทศไทยจะได้เงินจากโครงการ 4 อย่างจากสหรัฐอเมริกาแล้ว
ทางผู้นำไทยต้องการเงินกู้จากธนาคารโลกมาพัฒนาประเทศ
เมื่อได้คาดหวังว่าจะได้เงินจากหลายยอดและได้ผลประโยชน์หลายอย่างจากสหรัฐอเมริกาเช่นนี้แล้ว
จอมพล ป. แม้แต่ในช่วงที่ยังไม่ถึงการรับรอง 3 รัฐบาลในอินโดจีน ก็ได้แสดงทีท่าว่าต่อต้านคอมมิวนิสต์
โดยเมื่อเดือน มิถุนายน ค.ศ. 1949
เขาได้ประกาศว่า ประเทศไทย ชื่นชอบในกติกาสัญญาความมั่นคงต่อต้านการรุกรานของคอมมิวนิสต์ตามแนวทางของกติกาสัญญาแอตแลนติก(นาโต้)
ซึ่งจะรวมประชาชาติต่างๆจากเทือกเขาหิมาลัยจรดถึงทะเลจีนเข้าเป็นประเทศสมาชิก
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1949 จอมพล ป. ได้ตัดสินใจที่จะเลิกเป็นกลางในสงครามเย็นและต้องการลงจากรั้วโดดลงมาอยู่ทางประเทศสหรัฐอเมริกและประเทศสหราชอาณาจักร
ในเดือนนี้เอง จอมพล ป.ได้ให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวยูไนเต็ดเพรส(UP)
ว่าประเทศไทยได้ตกลงใจที่จะยุติการรุกรานของคอมมิวนิสต์ในทุกรูปแบบและว่าในกรณีที่เกิดสงครามขึ้น
ประเทศไทยจะต้อนรับความช่วยเหลือทางด้านอาวุธจากประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศสหราชอาณาจักรและกองทัพของทั้งสองประเทศนี้จะได้รับการต้อนรับอย่างฉันมิตร
สำหรับพวกผู้นำไทยที่ยึดถือนโยบายแบบให้รอไปก่อนนั้น ก็มีเหตุผลเป็นของตนเองเหมือนกัน
กล่าวคือ
ประการที่ 1
พวกคนเหล่านี้ไม่ต้องการให้ประเทศไทยแสดงท่าทีเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใน 2 ค่ายที่แตกต่างทางด้านอุดมการณ์นี้
พวกนี้มีความเชื่อว่าคนไทยไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศสหราชอาณาจักรได้อย่างมีประสิทธิผลเพื่อใช้ต่อต้านจักรวรรดินิยมจีนคอมมิวนิสต์ได้
และดังนั้นการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจึงเป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยนที่จะดำเนินนโยบายยั่วยุจีน
คอมมิวนิสต์
พวกนักการเมืองไทยกลุ่มนี้มีความเห็นว่าประเทศไทยควรที่จะดำเนินนโยบายเป็นกลางเพราะมีความเชื่อว่าด้วยการใช้เวลาและความอดทนและใช้กลวิธีนำมหาอำนาจหนึ่งมาคานกับอีกมหาอำนาจหนึ่งอย่างที่เคยใช้มาในอดีตเพื่อดำรงเอกราชของประเทศไทยเอาไว้นี้
คนไทยก็จะสามารถตักตวงผลประโยชน์จากประเทศจีนคอมมิวนิสต์อย่างเช่นคนไทยเคยตักตวงผลประโยชน์จากประเทศอื่นๆมาแล้ว
ประการที่ 2
พวกนักชาตินิยมชาวไทยได้ต่อต้านการที่ประเทศไทยให้การรับรองแก่ 3
รัฐอินโดจีน พวกนี้เห็นว่าการให้การรับรองแก่รัฐบาลของจักรพรรดิเบาได๋เป็นสิ่งบอกเหตุว่าคนไทยให้การยอมรับในลัทธิล่าอาณานิคมได้ดำเนินอยู่ต่อไป ทั้งๆที่จักรพรรดิเบาได๋ไม่มีโอกาสที่จะได้รับชัยชนะในประเทศเวียดนาม
ประการที่ 3 ผู้นำฝ่ายพลเรือนของไทยไม่อยากจะให้ประเทศไทยให้การรับรองแก่รัฐบาลของจักรพรรดิเบาได๋เพราะกลัวว่าจะเกิดความยุ่งยากกับผู้ลี้ภัยที่ต่อต้านฝรั่งเศสที่เข้ามาพำนักอยู่บนผืนแผ่นดินของประเทศไทยซึ่งในจำนวนนี้มีประมาณ
7000 คนให้การสนับสนุนโฮจิมินห์
พวกนี้มีความเห็นว่า ประเทศไทยอยู่ในฐานะที่ลำบากกว่าประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศสหราชอาณาจักรในการให้การรับรองแก่รัฐบาลของจักรพรรดิเบาได๋
ประการที่ 4
ปัญหาเกี่ยวกับดินแดนที่ประเทศไทยสูญเสียให้แก่ฝรั่งเศสก็จะขัดขวางไม่ให้ประเทศไทยรับรองรัฐบาลของจักรพรรดิเบาได๋
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่นำประเด็นปัญหานี้ขึ้นถามจอมพล ป. คือ นายควง อภัยวงศ์
หัวหน้าพรรคพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน
นายควงฯ
ได้กล่าวว่าดินแดนที่ประเทศไทยสูญเสียไปจะไม่ได้กลับคืนมาหากประเทศให้การรับรองประเทศลาว
ประเทศกัมพูชาและประเทศเวียดนามที่เป็นประเทศเอกราชในสหภาพฝรั่งเศส
นายควงอธิบายต่อไปว่า หากประเทศไทยยังไม่รับรอง 3 รัฐบาลในอินโดจีน การเจรจากับฝรั่งเศสเพื่อขอดินแดนคืนอาจจะประสบความสำเร็จก็ได้
จอมพล ป.ตอบว่า ประเทศไทยไม่ต้องการดินแดนเหล่านี้กลับคืนมาอีกต่อไป และว่ายุทธวิธีเช่นนั้นจะทำให้ประเทศไทยเป็นจักรวรรดินิยม ดินแดนที่สูญเสียไปนั้นควรจะได้เสียสละเพื่อเห็นแก่เอกราชของประเทศไทยที่ความปลอดภัยได้ถูกคุกคามจากคอมมิวนิสต์จีน
แม้แนวความคิดในทางคัดค้านการให้การรับรอง 3
รัฐบาลในอินโดจีนจะมีเหตุผลดีอย่างใด แต่ในที่สุดฝ่ายที่มีความเห็นต่อต้านการรับรองก็ต้องพ่ายแพ้
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1950 เมื่อมีการลงคะแนนเสียงในคณะรัฐมนตรี
ปรากฏว่าฝ่ายที่เห็นกับการให้การรับรองแก่ 3 รัฐบาลในอินโดจีนในทันทีมีชัยชนะต่อฝ่ายที่เห็นว่าให้รอไปก่อน
ที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งก็คือ ผู้แทนของ 3 เหล่าทัพ ได้แก่ กองทัพบก
กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และตำรวจได้ให้การสนับสนุนข้อเรียกร้องของจอมพล
ป.ที่ควรให้การรับรองในทันทีและพวกนี้ได้ใช้วิธีบีบคณะรัฐมนตรีเพราะมีความเชื่อว่าการให้การรับรองในทันทีนี้จะอำนวยประโยชน์แก่ฝ่ายประเทศไทยให้ได้ความช่วยเหลือทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์จากประเทศสหรัฐอเมริกา
ข้างจอมะพล
ป.เองก็ไม่ต้องการเสียโอกาสทองเพราะสหรัฐอเมริกาได้ตั้งเงื่อนไขว่าหากสหรัฐอเมริกาให้การรับรองแก่
3 ประเทศในอินโดจีนในทันทีประเทศไทยก็จะได้รับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งจากรายงานของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นบอกว่า สหรัฐอเมริกาจะปล่อยเงินกู้ให้แก่ประเทศไทยเป็นมูลค่า
75, 000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯหากรัฐบาลไทยให้การรับรองแก่ 3 รัฐบาลหุ่นเชิดของประเทศฝรั่งเศส
จากการประเมินผลประโยชน์ที่จะบังเกิดขึ้นแก่ประเทศไทยทางด้านยุทธศาสตร์ในอินโดจีนและผลประโยชน์เฉพาะหน้าที่ประเทศไทยจะพึงได้รับจากการดำเนินนโยบาย
ผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศของไทยโดยการนำของจอมพล ป.จึงได้นำประเทศเข้าไปผูกพันกับมหาอำนาจตะวันตก
และนโยบายนี้ก็ได้ถูกดำเนินการสานต่อมาอย่างต่อเนื่องโดยรัฐบาลไทยชุดต่างๆนับแต่ปี
ค.ศ. 1950 จวบจนสิ้นสุดสงครามเย็นในทศวรรษปี 1990.